วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Week9: เรื่องราวที่นักเรียนสนใจ (3)

WEEK9 : โรคซึมเศร้า
    
              โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่เราได้ยินบ่อยๆ ที่มักเกิดกับคนที่ไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง หรืออาจจะผิดหวังจากบางเรื่อง หากมีคนจำนวน 100 คน ให้บอกความหมายหรือสาเหตุของโรคซึมเศร้า แต่ละคนก็จะตอบแตกต่างกันออกไป เนื่องจากโรคซึมเศร้าเกิดได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน วันนี้เรามาให้ความรู้เกี่ยวกับโรคซึมเศร้า สาเหตุ พฤติกรรมบ่งชี้และวิธีการแก้ไข 

       
       อาการที่เด่นชัดของโรคซึมเศร้าคือ อาการหงุดหงิด ก้าวร้าว อารมณ์เศร้า ถ้าผู้ป่วยเป็นวัยรุ่น อาจจะมีอาการหงุดหงิด ก้าวร้าว อยู่ๆ ก็อยากหงุดหงิด ซึ่งจุดนี้บางคนคิดว่าเมื่อไปเจอเรื่องราวมรสุมชีวิต เลยกลายเป็นโรคซึมเศร้า แต่จริงๆ ไม่ใช่ ปัจจุบันทางการแพทย์เราเชื่อว่า โรคซึมเศร้านี้ เมื่อคนเราเกิดมา ร่างกายก็มียีน (Gene)ติดตัวมาอยู่แล้ว ดังนั้นหากพ่อแม่เป็นโรคซึมเศร้า หรือปู่ ย่า ตา ยาย เป็นโรคซึมเศร้า คนๆ นั้นก็มีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าคนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคู่แฝด ถ้าฝาแฝด คนใดคนหนึ่งเป็น แฝดอีกคนก็จะมีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้ามากถึง 50% หรือมากกว่าคนปกติถึง 2 เท่า
    
       
ดังนั้นโรคซึมเศร้าจึงไม่ใช่ว่าชีวิตต้องเจอกับมรสุมอะไร คนไข้หลายคนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า มักจะบอกกับหมอว่า ชีวิตก็ดี งานก็ดี ลูกก็ดี แต่ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ ถึงเศร้าขึ้นมา คำตอบก็คือ ยีน ที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิดนี่แหละ แต่ปัจจัยภายนอกก็มีผลเช่นกัน เพราะบางคนที่มียีนอยู่แล้ว ติดตัวมาแต่เกิด และเมื่อโตขึ้นก็ไปเจอมรสุมชีวิตอีก มันก็ยิ่งเป็นเหมือนการกระตุ้นให้อาการป่วยแสดงออกมา


   สัญญาณบอกเหตุโรคซึมเศร้า 
หลังบอกถึงสาเหตุหลักของโรคแล้ว คุณหมอนางงามอธิบายต่อถึงสัญญาณบอกเหตุของโรคซึมเศร้าว่ามีด้วยกัน 9 ประการ ซึ่งหากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการเหล่านี้ 5 ข้อติดต่อกันนาน 2 สัปดาห์ ให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อน ว่าอาจถูกเจ้าโรคซึมเศร้ามาเยือนเข้าแล้ว
    
       
1. อารมณ์ซึมเศร้า หงุดหงิด ก้าวร้าว
       
2. ขาดความสนใจสิ่งรอบข้าง
       3. สมาธิเสีย คือ ไม่ค่อยมีสมาธิเวลาทำสิ่งต่างๆ 
       4. รู้สึกอ่อนเพลีย 
       5. เชื่องช้า ทำอะไรก็เชื่องช้าไปหมด
       6. รับประทานอาหารมากขึ้น หรือรับประทานน้อยลง
       7. นอนมากขึ้น หรือนอนน้อยลง
       8. ตำหนิตัวเอง อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ ที่พบได้มากในคนเป็นโรคซึมเศร้า
       9. ฆ่าตัวตาย หากมีการพยายามฆ่าตัวตาย ก็ตั้งข้อสันนิษฐานได้เช่นกันว่า คนนั้นอาจเป็นโรคซึมเศร้า
    
       
ทั้งนี้อาการของโรคซึมเศร้า ต้องมี 5 ใน 9 อย่างนี้นาน 2 สัปดาห์ติดต่อกัน
       



       
สาวๆ หลายคนเชียวค่ะที่มีปัญหาหงุดหงิดหรือซึมเศร้าระหว่างมีประจำเดือน จึงมักเกิดคำถามว่าอาการซึมเศร้าเมื่อมีรอบเดือนนั้น คือ อีกสัญญาณบอกเหตุของโรคซึมเศร้าหรือไม่ จิตแพทย์สาวอธิบายให้โล่งใจว่า
    
       
“การมีประจำเดือนก็มีส่วนทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้ แต่กรณีนี้อาจจะไม่ถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้าค่ะ เราต้องกลับไปดูเกณฑ์ 9 ข้อ ว่าเราเข้าเกณฑ์ 5 ใน 9 นั้นมั้ย นั่นคือ ถ้ามีอาการซึมเศร้าแค่ช่วงมีรอบเดือนแล้วหาย มันยังไม่เข้าเกณฑ์เป็นโรคซึมเศร้า เพราะเกณฑ์การเป็นโรคซึมเศร้าต้องเป็นต่อเนื่องกัน 2 สัปดาห์ขึ้นไป แต่ถ้าซึมเศร้าระยะเวลาน้อยกว่านั้น คือ เป็นเฉพาะตอนมีประจำเดือนแค่ไม่กี่วัน อันนั้น เป็นผลที่เกิดมาจากฮอร์โมน(Hormone)

ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ที่มีภาวะซึมเศร้า โดยมีหลัก  9 ข้อดังต่อไปนี้

  1. อย่าตั้งเป้าหมายในการทำงาน และปฏิบัติตัวที่ยากเกินไป หรือรับผิดชอบมากเกินไป
  2. แยกแยะปัญหาใหญ่ๆ ให้เป็นส่วนย่อยๆ พร้อมทั้งจัดเรียงความสำคัญก่อนหลังและลงมือทำเท่าที่สามารถทำได้
  3. อย่าพยายามบังคับตนเอง หรือตั้งเป้ากับตนเองให้สูงเกินไป เพราะอาจไปเพิ่มความรู้สึกล้มเหลวในภายหลัง
  4. พยายามทำกิจกรรมต่างๆร่วมกับบุคคลอื่น ซึ่งดีกว่าอยู่เพียงลำพัง
  5. เลือกทำกิจกรรมที่จะสร้างความรู้สึกที่ดีขึ้น หรือเพลิดเพลินและไม่หนักเกินไปเช่นการออกกำลังเบาๆ การชมภาพยนตร์ การร่วมทำกิจกรรมทางสังคม
  6. อย่าตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญต่อชีวิตมากๆ เช่น การลาออกจากงาน การแต่งงาน หรือ การหย่าร้าง โดยไม่ได้ปรึกษาผู้ใกล้ชิดที่รู้จักผู้ป่วยดี และ ต้องเป็นบุคคลที่สามารถพิจารณาเหตุการณ์นั้นอย่าง ที่ยงตรง มีความเป็นกลาง และ ปราศจากอคติที่เกิดจากอารมณ์มาบดบัง ถ้าเป็นไปได้ และ ดีที่สุด คือ เลื่อนการตัดสินใจออกไปจนกว่าภาวะโรคซึมเศร้าจะหายไปหรือดีขึ้น มากแล้ว
  7. ไม่ควรตำหนิ หรือลงโทษตนเองที่ไม่สามารถทำ ได้อย่างที่ต้องการ เพราะ ไมใช่ความผิดของผู้ป่วย ควรทำเท่าที่ตนเองทำได้
  8. อย่ายอมรับว่าความคิดในแง่ร้ายที่เกิดขึ้นในภาวะ ซึมเศร้าว่าเป็นส่วนหนึ่งที่แท้จริงของตนเองเพราะโดยแท้จริงแล้วมันเป็นส่วนหนึ่งของโรค หรือ ความเจ็บป่วย และ สามารถหายไปได้เมื่อรักษา
  9. ในขณะที่ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ากลายเป็นคนที่ต้องการ ความช่วยเหลือจากบุคคลอื่นแต่ก็อาจมีบุคคลรอบตัวๆ ที่ไม่เข้าใจในความเจ็บป่วยของผู้ป่วย และ อาจสนองตอบในทางตรงกันข้ามและกลายเป็น การซ้ำเติมโดยไม่ได้ตั้งใจ


                อย่าลืมนะคะว่าโรคซึมเศร้าอาจจะเกิดขึ้นได้ง่าย หากเราละเลยบุคคลใกล้ตัวของเรามากเกินไป หากเรารักเขาเราควรดูแล สนใจ เพราะวันนึงที่ความเข้มแข็งในใจของเขาหมดลงไป เราอาจจะสูญเสียเค้าไปตลอดกาล 
ขอบคุณแหล่งข้อมูล 

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Week 8 : Review/แนะนำการใช้งาน 1 โปรแกรม



Week 8 : Review/แนะนำการใช้งาน 1 โปรแกรม

Instagram

  App ถ่ายรูป Instagram
Instagram (App แต่งรูป อินสตาแกรม ฮอตฮิต ประจำ Social Network) : ตัวนี้คือแอพที่มีชื่อว่า Instagram ภาษาไทยอ่านว่า อินสตราแกรม หรือดารา วัยรุ่น เซเลป ชอบเรียกสั้นๆ ว่า ไอจี (IG) ก็จัดถือเป็น โปรแกรมแต่งรูป ยอดฮิตประจำโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) โดย อินสตาแกรม มีผู้ใช้มากกว่า 150 ล้านคนทั่วโลกแล้วตอนนี้ ที่สมาร์ทโฟนทุกเครื่องควรจะมี คุณสามารถ ถ่ายรูป แต่งรูป ใส่ฟิลเตอร์ต่างๆ และ แชร์รูป เพื่อที่จะให้เพื่อนๆ ที่ Follow หรือตาม คุณได้ ไลค์ได้ และ คอมเม้นท์ กันได้กระจาย  แต่เนื่องจากตัวนี้เป็นแอพฯ ที่ใช้งานบนมือถือ จึงเรียกว่ามันเป็น App แต่งรูป นั่นเอง โดยอินสตาแกรม ตัวนี้คุณยังสามารถแชร์ออกไปสู่สื่อสังคมออนไลน์ (Social Network) อื่นๆ ที่ดังๆ เช่น เฟชบุ๊ค, ทวิตเตอร์, โฟร์สแควร์ และแอพอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย
โดยสำหรับแอพ อินสตราแกรม (Instagram) แอพ แต่งรูป ตัวนี้ใช้ได้ทั้งระบบปฏิบัติการ แอนดรอยด์ (Android) และ ไอโอเอส (iOS) ดาวน์โหลด อินสตราแกรม (Instagram) เลย แล้วคุณจะไม่ตกเทรนด์เลยละ ความสามารถแต่งรูปไม่แพ้กับที่คุณ โหลด Camera360 ไปใช้เลยทีเดียว
ตอนนี้ไม่เพียงแค่ผู้ใช้ iOS หรือแอนดรอยด์ ที่ได้สัมผัสกับ App แต่งรูป อินสตาแกรม เท่านั้น แต่ผู้ใช้ Windows Phone ก็มีปล่อยให้โหลดใช้กันแล้วเช่นกัน แต่ยังเป็นตัว BETA อยู่นะ ถึงอย่างนั้น ชาววินโดว์โฟนก็จะไม่ตกเทรนด์กันแล้ว สามารถโหลดกันไปใช้ฟรีๆ ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
ปัจจุบัน App แต่งรูป อินสตราแกรม (Instagram) สามารถอัพโหลดวีดีโอความยาว 15 วินาทีได้แล้วนะ โดยคุณสมบัติเหมือนกันกับการอัพโหลดรูปภาพเลยค่ะ สามารถปรับแต่งฟิลเตอร์ของวีดีโอ รวมถึงแชร์ไปยัง Social Network ต่างๆ ได้เหมือนเดิมทุกประการเลยค่ะ!
หมายเหตุ : สำหรับใครที่เป็นสาวกของ App แต่งรูป Instagram นี้ตอนนี้เรามี โปรแกรมโหลดรูป จาก Instagram ให้โหลดเซฟรูปมาเก็บไว้บนเครื่องพีซีได้แล้วนะค่ะ เพื่อให้คุณได้สูบ ได้ดูรูปดารา เซเลป หรือเพื่อนที่ชื่นชอบ กันได้อย่างเต็มที่

Application Features (คุณสมบัติและความสามารถของ App แต่งรูป อินสตาแกรม Instagram)
  • อินสตาแกรม ออกแบบรูปถ่าย ด้วยฟิลเตอร์ หรือลูกเล่นเพียบ ไม่ว่าจะเป็นภาพย้อนยุค ภาพขาวดำ ในยุคต่างๆ และกรอบรูปให้เลือกอีกเพียบ
  • มีฟิลเตอร์ที่ใช้ในการแต่งรูปต่างๆ ให้เลือกใช้อยู่มากมาย XPro-II, Earlybird, Rise, Amaro, Hudson, Lo-fi, Sutro, Toaster, Brannan, Inkwell, Walden, Hefe, Nashville, 1977
  • สามารถ แต่งรูป ให้ดูดี มีสไตล์ แบบที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย App แต่งรูป อินสตาแกรม (Instagram)
  • สามารถแต่งภาพให้ เบลอ หรือไม่ชัดเฉพาะส่วน หรือ แต่งรูป ทำให้ภาพชัดเจนกว่าเดิม
  • สามารถช่วย ปรับแสงสว่างและความมืดด้วยเครื่องมือ Brightness (ความสว่าง) Contrast (ความคมชัด) Highlights (การเน้นสี) และ Shadows (เงา)
  • แชร์รูปจาก อินสตาแกรม ไปยังสื่อสังคมออนไลน์อื่นๆ ได้อาทิเช่น Facebook, Twitter, Tumblr, Flickr และ Foursquare
  • คอมเม้นท์รูป หรือไลค์รูป กับเพื่อนของคุณผ่าน อินสตาแกรม (Instagram)
  • App แต่งรูป อินสตาแกรม (Instagram) รองรับกล้องหน้า และกล้องหลัง เต็มรูปแบบ
  • สามารถที่จะ Tags เพื่อนที่อยูบน Instagram ลงไปบนรูปได้ (เหมือนกับ Tags รูปบนเฟชบุ๊ค)
  • สามารถที่จะใส่ตำแหน่งแผนที่เข้าไปได้ ในฟังก์ชั่น "Add to Photo Map" เพื่อบอกเพื่อนๆ ชาวโซเชียลว่าภาพนี้ถูกถ่ายที่ไหน อย่างไร ซึ่งเชื่อมต่อฐานข้อมูลกับแผนที่ของบริการ Foursquare นั่นเอง มีความแม่นยำสูง
  • อัพโหลดวีดีโอความยาว 15 วินาที ปรับเปลี่ยนฟิลเตอร์ และแชร์ไปโลกสังคมออนไลน์ได้
  • มีระบบควบคุมการใช้งานรับส่งข้อมูล เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายอินเทอร์เน็ตของคุณ ในขณะที่ดูวีดีโอ
  • มีความสามารถที่เรียกว่า "Instagram Direct" ซึ่งทำให้เราสามารถแบ่งปันรูปภาพ และวีดีโอบนอินสตาแกรม ให้คนอื่นรับชมแบบส่วนตัว ซึ่งจะสามารถแชร์ให้กับคนพิเศษ หรือกลุ่มเพื่อนได้สูงสุด 15 คนเลยทีเดียว และการส่งแบบส่วนตัวนี้ จะมีการร้องขอคำอนุญาตผ่านทาง Inbox ไปยังผู้ใช้ที่ไม่ได้เป็นเพื่อนกันอีกด้วย
  • แจกฟรี 100% ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ หรือ โฆษณา แอบแฝงใดๆ ทั้งสิ้น
  • สนับสนุน iOS7 อย่างเต็มรูปแบบจริงๆ แล้ว ปรับหน้าจอต่างๆ ให้มีขนาดเหมาะสมและใช้ได้กับ iOS7 รวมถึง Windows Phone 8 ก็ใช้เล่นอินสตาแกรมได้แล้ว
  • และความสามารถอื่นๆ อีกมากมาย ค่ะ

App แต่งรูป Instagram


ผู้ที่สนใจก็สามารถโหลดได้ที่ 
น่ะค่ะ ^-^




วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Week7 : คอมพิวเตอร์และเครือข่ายคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์และเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 

คอมพิวเตอร์คืออะไร
          คอมพิวเตอร์ คือ อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ (electrinic device) ที่มนุษย์ใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการจัดการกับข้อมูลที่อาจเป็นได้ ทั้งตัวเลข ตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ที่ใช้แทนความหมายในสิ่งต่าง ๆ โดยคุณสมบัติที่สำคัญของคอมพิวเตอร์คือการที่สามารถกำหนดชุดคำสั่งล่วงหน้าหรือโปรแกรมได้ (programmable) นั่นคือคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้หลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับชุดคำสั่งที่เลือกมาใช้งาน ทำให้สามารถนำคอมพิวเตอร์ไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างกว้างขวาง เช่น ใช้ในการตรวจคลื่นความถี่ของหัวใจ การฝาก - ถอนเงินในธนาคาร การตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์ เป็นต้น ข้อดีของคอมพิวเตอร์ คือ เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธภาพ มีความถูกต้อง และมีความรวดเร็ว


เครือข่ายคอมพิวเตอร์คืออะไร
           เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (computer network) คือ ระบบที่มีคอมพิวเตอร์อย่างน้อยสองเครื่องเชื่อมต่อกันโดยใช้สื่อกลาง และสามารถสื่อสารข้อมูลกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในเครือข่ายร่วมกันได้ เช่น เครื่องพิมพ์ สแกนเนอร์ ฮาร์ดดิสก์ เป็นต้น การใช้ทรัพยากรเหล่านี้ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก เมื่อมีการเชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่นๆ ที่อยู่ห่างไกล เช่น ระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ทั่วโลก ก็ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร ได้กับคนทั่วโลก โดยใช้แอพพลิเคชั่น เช่น เว็บ อีเมลล์ เป็นต้น

การสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีที่มาจากผู้ที่ต้องการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว คอมพิวเตอร์นั้นเป็นอุปกรณ์ที่มีความสามารถในการประมวลข้อมูลในปริมาณมากได้อย่างรวดเร็ว แต่มีข้อเสียคือ ผู้ใช้ไม่สามารถแชร์ข้อมูลกับคนอื่นๆได้ ดังนั้น ก่อนมีการสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้จะแลกเปลี่ยนข้อมูลกันโดยการ พิมพ์(print) ข้อมูลออกมาเป็นเอกสารก่อนแล้วค่อยนำไปให้ผู้ใช้ที่ต้องการใช้หรือแก้ไขข้อมูลอีกคนหนึ่ง ซึ่งทำให้เสียเวลาและเป็นวิธีที่ยุ่งยากมากเมื่อเปรียบเทียบกับปัจจุบันที่มีการใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์แล้ว

การทำสำเนา(copy) หรือ บันทึก(save) ข้อมูลลงในแผ่นดิสก์(floppy disk) แล้วส่งให้คนอื่นก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่นิยมใช้กันก่อนที่จะมีการสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และนับว่าเป็นวิธีที่เสียเวลาและยุ่งยากน้อยกว่าการส่งเป็นแผ่นกระดาษ เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาในการแปลงข้อมูล เพราะคอมพิวเตอร์สามารถอ่านข้อมูลในแผ่นดิสก์ได้เลย การใช้คอมพิวเตอร์ลักษณะนี้เรียกว่า sneakernet หรือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีคนเป็นสื่อรับส่งข้อมูล การใช้เครือข่ายแบบ sneakernet นี้ ถือว่ายังช้ามากเมื่อเทียบกับความเร็วของคอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันการใช้คอมพิวเตอร์ลักษณะนี้ก็ยังมีการใช้กันอยู่บ้างในองค์กรที่ไม่มีระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

การใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กันโดยสายสัญญาณ การถ่ายโอนข้อมูลระหว่างเครื่องจะเร็วมากเนื่องจากการเดินทางของข้อมูลผ่านสายสัญญาณนี้ จะมีความเร็วเกือบเท่าความเร็วแสง เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าผู้ใช้คอมพิวเตอร์จะอยู่ห่างกันแค่ไหน การแลกเปลี่ยนข้อมูลก็จะเร็วกว่าการใช้แผ่นดิสก์มาก เครือข่ายแบบนี้ทำให้ผู้ใช้สามารถแชร์ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ






องค์ประกอบพื้นฐานของเครือข่ายคอมพิวเตอร์

- คอมพิวเตอร์อย่างน้อย 2 เครื่อง

- เน็ตเวิร์คการ์ด(NIC : Network Interface Card)

- สายสัญญาณและอุปกรณ์รับส่งข้อมูล เช่น เราท์เตอร์ เกตเวย์ เป็นต้น

- โปรโตคอล(Protocol) หรือ ภาษาที่คอมพิวเตอร์ใช้สื่อสารผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์

- ระบบปฏิบัติการเครือข่าย(NOS : Network Operating System)



ประโยชน์ของเครือข่ายคอมพิวเตอร์

- สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

- สามารถแชร์ซอฟแวร์และฮาร์ดแวร์ได้ เช่น เครื่องพิมพ์ สแกนเนอร์ ฮาร์ดดิสก์ เป็นต้น

- สามารถรวมการจัดการไว้ในเครื่องที่เป็น server

- สามารถใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์(e-mail) เพื่อติดต่อผู้ที่อยู่ไกลกันได้อย่างรวดเร็ว

- การสนทนาผ่านเครือข่าย(chat)

- การประชุมทางไกล(video conference)

- ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อซอฟแวร์และฮาร์ดแวร์จำนวนมาก เนื่องจากใช้ร่วมกันได้



                                                                                    ขอบคุณที่มาจาก https://sites.google.com/site/wiparat0001/bth-thi-hnung

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Week6 : วิเคราะห์ข้อสอบ O-NET คอมพิวเตอร์ 5 ข้อ



ข้อใดคือการชำระเงินค่าสินค้าและบริการผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
1. E-News                2. E-Sourcing
3. E-Learning             4. E-Payment
ตอบ 4 เพราะ E-Payment คือการสั่งซื้อสินค้าและการจ่ายเงินผ่านทางอินเทอร์เน็ต ส่วน E-News คือ ข่าวออนไลน์ E-Leaning คือ การเรียนรูปแบบออนไลน์ผ่านเครือข่าย อินเทอร์เน็ต และ E-Sourcing คือ การขอให้ผู้ค้าเสนอราคาและเงื่อนไข
ข้อใดเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมคอมพิวเตอร์
1. การเผยแพร่ความรู้เรื่องอาชญากรรมคอมพิวเตอร์แก่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์
2. การส่งเสริมจริยธรรมในการใช้คอมพิวเตอร์แก่เยาวชน
 3. การบัญญัติกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับอาชญากรรมคอมพิวเตอร์
4. การจัดตั้งหน่วยงานเกี่ยวกับอาชญากรรมคอมพิวเตอร์
ตอบ 2 การแก้ปัญหาอาชญากรรมคอมพิวเตอร์จะต้องเริ่มจากการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ให้กับเยาวชน เพื่อให้ตระหนักในความสำคัญของการใช้คอมพิวเตอร์อย่างถูกต้อง โดยไม่ละเมิดผู้อื่น และมีภูมิต้านทาน มีวิจารญาณจากการใช้คอมพิวเตอร์ที่ถูกต้องส่วนมาตรการทางกฎหมายเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหต
ข้อใดเป็นการใช้อินเทอร์เน็ตที่ขัดต่อศีลธรรมอันดีงามของสังคมไทย
1. การประกาศจับอาชญากรในเว็บไซต์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
2. การจำหน่ายสินค้าราคาแพงกว่าท้องตลาดในเว็บไซต์ของบริษัทแห่งหนึ่ง
3. การให้บริการเกมต่อสู้ออนไลน์ของบริษัทเกม
4. การนำเสนอภาพถ่ายเปลือยของนางแบบที่ได้รับรางวัลผิวดีในนิตยสารออนไลน์
ตอบ 4 การน าเสนอภาพเปลือย การแต่งกายไม้สุภาพของนางแบบ นายแบบ เป็นการขัดต่อ วัฒนธรรม และศีลธรรมอันดีของสังคมไทย
นักเรียนมีวิธีใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์อย่างไรเพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อน
 1. ปิดเครื่องเมื่อไม่ใช้งาน และพิมพ์งานเมื่อจำเป็น
 2. เลือกใช้จอแอลซีดีและปรับปรุงซอฟต์แวร์ให้ทันสมัย
 3. ใช้คอมพิวเตอร์วันละ 1 ชม. และรักษาความสะอาดอยู่เสมอ
 4. ไม่เชื่อมต่อระบบเครือข่ายและใช้เครื่องพิมพ์ฉีดหมึกเท่านั้น
ตอบ 1 เพราะการปิดเครื่องเมื่อไม่ใช้งาน หรือใช้เมื่อจำเป็น เป็นการลดการใช้พลังงานไฟฟ้า
ข้อใดหมายถึงการพาณิชย์เล็กทรอนิกส์ (Electronics Commerce)
1. การสั่งพัสดุสินค้าทางรถไฟ
2. การชำระค่าเทอมทางไปรษณีย์
 3. การถอนเงินที่เคาน์เตอร์ธนาคาร
4. การสั่งซื้อเสื้อผ้าผ่านระบบอินเทอร์เน็ต

ตอบ 4 การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การซื้อขายสินค้า ที่กระทำผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่ง เครือข่ายอินเทอร์เน็ตก็ถือเป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์ประเภทหนึ่ง ที่ช่วยให้การซื้อขายมี ความสะดวกรวดเร็วและประหยัดค่าใช้จ่าย เป็นที่นิยมอย่างมากในยุคปัจจุบัน ส่วน ในข้ออื่นๆ ไม่ถือเป็นการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์


อ้างอิง
http://edunews.thaischool.in.th/_files/news_thaischool/Main_0_20120428-153107.jpg
http://techno.knw.ac.th/images/preonet57/work_01.pdf

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Week5 : เรื่องราวที่นักเรียนสนใจ (2)

แนะนำคณะเทคนิคการแพทย์
          สวัสดีค่ะ วันนี้เรามีสาระดีๆมานำเสนออีกเช่นเคยกับเรื่องราวที่นักเรียนสนใจ ในหัวข้อเรื่อง " แนะนำคณะเทคนิคการแพทย์ " ซึ่งคณะนี้เป็นอีกคณะหนึ่งสำหรับน้องๆหรือเพื่อนๆที่ชอบเรียนวิทยาศาสตร์ ชอบการค้นคว้าทดลอง อีกทั้งยังเปิดสอนในหลายๆมหาวิทยาลัยให้ได้เลือกเรียน จบมาแล้วทำงานในห้องแล็บโรงพยาบาล เท่ไม่ใช่เล่นเลย ถ้าพร้อมแล้วเราไปเริ่มกันเลยค่ะ

         หลายคนอาจจะสงสัยว่าเรียนเทคนิคการแพทย์นี้แล้วจบมาทำงานไร ถ้างานสายตรงเลยคือจบมาเป็นนักเทคนิคการแพทย์ทำงานในห้องแล็บของโรงพยาบาล หลายคนอาจยังนึกไม่ออก ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็เหมือนเวลาที่เราไปหาหมอ หมอเค้าอยากรู้ว่าเราเป็นโรคอะไร หมอเค้าก็จะส่งเรามาเจาะเลือด ปัสสาวะ อุจจาระ น้ำไขสันหลัง เสมหะ สิ่งส่งตรวจจากช่องคลอด เป็นต้น แต่อย่าเพิ่งตกใจไป ว่าจะมาทำงานกับสิ่งสกปรกๆ เพราะเวลาเค้าส่งตรวจมา เค้าเอามาแค่เศษเสี้ยวเดียว ซึ่งยังไม่พอที่ยังทำให้ต่อมขยะแขยงทำงาน


      จากนั้นนักเทคนิคการแพทย์ก็จะเป็นคนตรวจสิ่งส่งตรวจเหล่านั้น แล้วก็รายงานผลให้แพทย์เจ้าของไข้เอาไปวินิจฉัยว่าเป็นโรคอะไร จริงเราทำแล๊บเราก็วินิจฉัยได้เหมือนกันนะว่าเป็นโรคอะไร แต่ไม่ใช่หน้าที่ของเรา ซึ่งเทคนิคการแพทย์ มีหลายหน่วยมากมายในการทำแล็บ เช่น 

รูปภาพจาก http://suppachoke.exteen.com/20080313/entry

โลหิตวิทยา ตรวจเลือดทั้งเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด รวมทั้งปัจจัยการแข็งตัวของเลือด และอื่นๆ ตัวอย่างโรคก็เช่น ทาลัสซีเมีย ฮีโมฟีเลีย ลิวคีเมีย SLE เป็นต้น 

รูปภาพจาก http://suppachoke.exteen.com/20080313/entry

จุลทรรศศาสตร์ ใช้เกี่ยวกับกล้องจุลทรรศน์ สิ่งส่งตรวจจะเป็นพวก อุจจาระ ปัสสาวะ ดูพวกโปรโตซัว พยาธิ มาลาเรีย โรคเท้าช้าง ดูการทำงานของระบบทางเดินปัสสาวะ

จุลชีววิทยา เกี่ยวกับเชื้อทั้งหลาย ซึ่งจะเน้นไปที่แบคทีเรีย สิ่งส่งตรวจมีทุกชนิด เอามาเพาะเลี้ยงดูว่าเราติดเชื้ออะไร เพื่อจ่ายยาได้ถูกต้อง

ภูมิคุ้มกันวิทยา ตรวจแอนติเจน แอนติบอดี ของเชื้อที่ติดเป็นอีกทางที่จะรู้ว่าเราเป็นโรคอะไร ตัวอย่างโรคเช่น ซิฟิลิส เอดส์ ไวรัสตับอักเสบ และอื่นๆอีกมากมาย 

ธนาคารเลือด ตรวจกรุ๊ปเลือด ตรวจความเข้ากันได้ของเลือด

เคมีคลีนิค อันนี้สิ่งส่งตรวจส่วนใหญ่จะเป็นซีรัม ทั้งเอนไซม์ ปริมานไขมัน โปรตีน จะมีหลายชุดตรวจด้วยกัน เช่น ชุดตรวจโรคตับ โรคไต โรคหัวใจ ชุดตรวจปริมาณไขมัน พวกคอเลสเตอรอล และอื่นๆ


จากคลิปวิดีโอที่นำมาให้ชม เป็นหนังสั้นแนะนำคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งคณะที่น่าสนใจ และเหมาะที่จะเป็นตัวเลือกของนักเรียนหลายๆคน ใครสนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมของหลายๆมหาวิทยาลัยได้นะคะ 

ขอบคุณข้อมูลจาก http://suppachoke.exteen.com/20080313/entry

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week4: โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ ( Java )

Week4: โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ ( Java ) 
          ก่อนที่เราจะรู้จักกับภาษา Java เราควรรู้จักกับภาษาของคอมพิวเตอร์ก่อน ภาษาของคอมพิวเตอร์คือ ภาษาที่ผู้ใช้งานใช้สื่อสารกับคอมพิวเตอร์ หรือคอมพิวเตอร์ด้วยกัน แล้วคอมพิวเตอร์สามารถทำตามคำสั่งนั้นได้           
Java เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่งที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม พัฒนาขึ้นโดยบริษัท ซันไมโครซิสเต็มส์ จำกัด (Sun Microsystems Inc.) ในปี ค.ศ. 1991

          ภาษา Java เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยเพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ สำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ต่างๆ เช่น โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ โดยมีเป้าหมายการทำงานเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ต่างๆได้อย่างกว้างขวาง และมีประสิทธิภาพ ใช้เวลาน้อย รวดเร็วในการพัฒนาโปรแกรม และสามารถเชื่อมต่อไปยังแพล็ตฟอร์ม (Platform) อื่นๆได้ง่าย  Java เป็นภาษาสำหรับเขียนโปรแกรมภาษาหนึ่งที่มีลักษณะสนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP : Object-Oriented Programming) ที่ชัดเจน โปรแกรมต่าง ๆ ถูกสร้างภายในคลาส (Class) โปรแกรมเหล่านั้นเรียกว่า Method หรือ Behavior โดยปกติจะเรียกแต่ละ Class ว่า Object โดยแต่ละ Object มีพฤติกรรมมากมาย โปรแกรมที่สมบูรณ์จะเกิดจากหลาย object หรือหลาย Class มารวมกัน โดยแต่ละ Class จะมี Method หรือ Behavior แตกต่างกันไป



ข้อดีของภาษา Java
          1. ภาษา Java เป็นภาษาโปรแกรมที่ง่ายในการเรียนรู้ ภาษา Java มีคุณลักษณะต่างๆ ดังนี้ เช่น เชื่อมต่อข้ามแพล็ตฟอร์ม (Platforms) ต่างๆ ได้ สามารถเขียนโปรแกรมแบบ OOP (Object-Oriented Programming) ได้งายมาก โปรแกรมมีขนาดเล็ก และมีวิธีการเขียนไม่ยุงยากซับซ้อน ดังนั้นโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษา Java จึงคอมไพล์ได้ง่ายตลอดจนตรวจสอบหาข้อผิดพลาดโปรแกรมได้ง่ายด้วย ภาษา java เป็นภาษาที่ทำความเข้าใจได้ง่ายมาก มีขนาดเล็กและยากที่จะเกิดข้อผิดพลาด เขียนคำสั่งได้ง่าย มีประสิทธิภาพในการทำงานและมีความยืดหยุ่นสูง 

          2. ภาษา Java เป็นการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ OOP (Object-Oriented Programming) การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ เป็นเทคนิคการเขียนโปรแกรมให้มีลักษณะเป็นโมดูล (Module) แบ่งโปรแกรมเป็นส่วนๆ ตามสภาวะแวดล้อมการทำงานของโปรแกรมซึ่งเรียกว่า Method โดยทุก Method ก็คือ ระเบียบวิธี หรือการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยจะถูกรวบรวมอยู่ในคลาส ซึ่งหลักการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุจะมององค์ประกอบของโปรแกรมต่างๆเป็นคลาสหรือวัตถุ เรียกว่า Object ตัวอย่าง เช่น วัตถุที่มองเห็นได้ เช่น รถ สินค้า หรือ วัตถุที่ไม่สามารถมองเห็นได้ เช่น เหตุการณ์ต่างๆ  ข้อมูลต่างๆของ Object จะถูกซ่อนไว้คลาสเรียกว่า Data Encapsulation ซึ่งมีประโยชน์ในการแก้ไขข้อมูลหรือ Method ใดๆ ที่อยู่ในคลาส โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานหรือเรียกใช้งานของ Object นั้น 


   3. ภาษา Java เป็นอิสระต่อแพล็ตฟอร์ม (Java is Platform-Independent)Java เป็นอิสระต่อแพล็ตฟอร์ม ทั้งระดับซอร์ซโค้ด (Source Code) และไบนารีโค้ด (Binary Code) ช่วยให้สามารถเคลื่อนย้ายโปรแกรมจากระบบคอมพิวเตอร์หนึ่งไปยังระบบคอมพิวเตอร์อื่นได้อย่างง่ายดาย เพราะว่าโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษา Java ได้รวบรวมคำสั่งต่างๆไว้ในไลบรารีคลาสพื้นฐานต่างๆ เป็น Java Packages ช่วยอำนวยความสะดวกในการเขียนคำสั่ง เมื่อย้ายโปรแกรมไปยังแพล็ตฟอร์มอื่น โดยไม่ต้องเขียนซอร์ซโค้ด (Source Code) ขึ้นใหม่ทำให้ประหยัดเวลามาก เมื่อคอมไพล์ซอร์ซโค้ด จะได้ไฟล์ไบนารีโค้ด ที่เรียกว่า Bytecode การรันโปรแกรมของ Java จะทำงานในลักษณะอินเทอร์พรีเตอร์ (Interpreter) ของไฟล์ Bytecode  ซึ่งสามารถรันบนแพล็ตฟอร์มใดๆ ก็ได้ รวมทั้งระบบปฏิบัติการต่างๆ เช่น ระบบ Windows, Solaris, Linux หรือ MacOS โดยการแปลคำสั่งทีละคำสั่ง แพล็ตฟอร์มที่ Java ทำงานได้จะต้องประกอบด้วย 2 ส่วน คือ Java Virtual Machine (JVM) และ Java Application Programming Interface (Java API) โดย Java Virtual Machine คือเครื่องมือที่รวบรวมคำสั่งคอมไฟล์และรันโปรแกรม Java ส่วน Java API เป็นกลุ่มของคลาส และอินเตอร์เฟส (Interface) ที่รวมอยู่ในไลบรารีที่เรียกว่า Java Package เช่น java.awt, java.util หรือ java.io เป็นต้น ลักษณะการทำงานของ Java ที่เป็นอิสระต่อแพล็ตฟอร์มโดยการเขียนโปรแกรมเพียงครั้งเดียวแต่สามารถนำไปใช้ทำงานยังเครื่องอื่นๆ ได้ นั้นเรียกว่า Write once, Run anywhere นั้นเอง

          4. ภาษา Java มีระบบการทำงานและมีระบบความปลอดภัยที่ดี Java จะคำสั่งต่างๆที่เป็นส่วนประกอบของ Java API โดยมีการรวบรวมเป็นคลาสต่างๆไว้มากมาย ช่วยอำนวยความสะดวกในการเขียนโปรแกรม นอกจากนั้นยังมี Garbage Collector โดยมีระบบจัดการหน่วยความจำเพื่อเก็บขยะของโปรแกรมและคืนหน่วยความจำให้กับระบบ โปรแกรมที่เขียนด้วยภาษา Java มีระบบจัดการข้อผิดพลาดที่เกิดจากการทำงานของโปรแกรมที่เรียกว่า Exception Handling ด้วยทำให้สามารถตรวจสอบโปรแกรม (Debug) โปรแกรมได้ง่ายขึ้น Java มีระบบความปลอดภัยที่ดี เช่น โปรแกรม Java ที่ทำงานบนเว็บบราวเซอร์ (Web Browser) ที่เรียกว่า Java Applet นั้นจะทำงานเฉพาะบนเครื่องแม่ข่าย (Server) โดยไม่สามารถเข้าถึงเครื่องลูกข่าย (Client) ไปทำลายไฟล์ หรือไฟล์ระบบ (System file) ได้ ทำให้มีระบบความปลอดภัยที่ดี ป้องกันข้อมูลจากไวรัส และโปรแกรมที่เขียนด้วย Java ไม่มีพฤติกรรมเป็นไวรัสได้


วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week3: social Network กับนักเรียนและสังคมไทย

Week3: Social Network กับนักเรียนและสังคมไทย

          Social Network คือ สังคมออนไลน์ การติดต่อสื่อสารกันผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อผ่านคน 10 คน 20 คนหรือ 100 คนก็ตามผ่านผู้ให้บริการด้าน Social Network เช่น Line Facebook Twitter Instagram Blogger เป็นต้น การเชื่อมโยงดังกล่าวทำให้เกิดเป็นเครือข่ายสังคม ทำให้สังคมแคบมากขึ้น รู้จักกันง่ายมากขึ้น และแต่ละ Social Network ก็จะมีการใช้งานที่แตกต่างออกไป


ขอบคุณรูปภาพจาก http://iconion.com/posts/social-media-icons-1.html

          Social Network แบ่งออกตามการใช้งานไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยสื่อสารกัน การแบ่งปันรูปภาพ การเผยแพร่ผลงานหรือแชร์ผลงานร่วมกัน หรือแม้กระทั่งการรวมกลุ่มกันเพื่อพูดคุยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง


พฤติกรรมการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ของคนไทย
          พฤติกรรมของผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต ปรับเปลี่ยนจากการรับข่าวสารจาก Portral Site มาเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) เว็บไซต์ เริ่มเด่นชัดตั้งแต่ช่วงปี 2007 หรือ พ.ศ. 2550 เป็นต้นมา และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีผลการศึกษาพบว่าประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ใช้เพื่ออัพเดตข้อมูลข่าวสาร และอีก 1 ใน 3 เพื่อคุยกับเพื่อนและคนรู้จัก นั่นสะท้อนให้เห็นเป็นอย่างดีว่าผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต ติดตามข่าวสารจากโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) มากขึ้น         
           Social Network มีทั้งผลดีและผลเสีย ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานและการนำไปใช้งาน หากเราใช้งานในทางที่ถูก Social Network  จะเป็นสื่อที่มีประโชยน์สามารถค้นคว้าหาข้อมูล ติดต่อสื่อสารกัน หากใช้ผิดวิธี Social Network จะเป็นภัยร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์ข้อความ รูปภาพ หรือสื่อต่างๆที่ผิดกฏหมาย
           เรามี Social Network ในการอำนวยความสะดวกต่างๆ เราก็ควรใช้ในทางที่ถูก และใช้แต่พอเหมาะ ให้มีประโยชน์มากที่สุด และมีโทษน้อยที่สุด